พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติถาม ทำไมไม่พัฒนาสนามบินปัตตานี? ทำไมยังไม่เปิดสนามบินเบตง?
การประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 มีการพิจารณาเรื่องด่วน พิธีสารบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ว่าด้วยการขยายเส้นทางบิน ซึ่งพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาชาติ ได้อภิปรายสนับสนุน
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง อภิปรายว่า “IMTGT (Indonesia–Malaysia–Thailand Growth Triangle) ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2536 และมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการปรับปรุงพัฒนาเส้นทางการบิน ซึ่งเดิมประเทศไทยมี 5 จุด คือท่าอากาศยานหาดใหญ่, นราธิวาส, ปัตตานี, ตรัง และนครศรีธรรมราช จากการตกลงเมื่อปี 2549 จุดที่ไทยเสียโอกาสค่อนข้างมากคือสนามบินปัตตานี อาจจะเริ่มมาจากการเป็นสนามบินทหาร หรือสนามบินที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือสนามบินในเมืองสำคัญของ 3 จังหวัดภาคใต้ที่มีประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ เป็นที่รู้จักในประเทศกลุ่มมลายูและตะวันออกกลาง เพราะสิ่งที่ทำให้ปัตตานีมีชื่อเสียงคือนักปราชญ์ หรือที่เรียกว่าอูลามาอ์ ในประเทศอินโดนีเซียมีจำนวนประชากรกว่า 250 ล้านคน ในจำนวนนี้ 98-99% นับถือศาสนาอิสลาม และเป็นสายของเชคดาวุด ซึ่งเป็นนักปราชญ์ชาวปัตตานีที่ไปเผยแผ่ความรู้ศาสนาในคาบสมุทรมลายู แต่น่าเสียดายที่สนามบินปัตตานีได้ยกเลิกไปเมื่อมีข้อตกลง จึงอยากเรียนถามผู้ชี้แจงว่าทำไมไม่พัฒนาสนามบินปัตตานี? ทั้งที่เป็นพื้นที่ที่มีพี่น้องไปเรียนหนังสือในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย จำนวนมากที่สุดของไทย”
“การขยายสนามบินไปที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เห็นด้วยที่จะเป็นการเปิดโอกาสให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีการพัฒนา แต่ที่จังหวัดยะลามีสนามบินเบตง อยากจะเรียนถามว่า ทำไมถึงยังไม่เปิดสนามบินเบตง? เพราะอะไร? มีเงื่อนไขอะไร? เราพัฒนาสนามบินเบตงแต่ทราบว่าเครื่องบินขนาดเล็กเท่านั้นที่ลงได้ ส่วนเครื่องบินขนาดกลางและขนาดใหญ่ไม่สามารถบินลงได้ เช่น โบอิ้ง 737 แอร์บัส 320 เมื่อไม่สามารถบินมาเบตงได้ ก็ต้องบินผ่านมาเลเซีย จึงอยากเรียนถามรัฐบาลว่าได้ไปคุยและมีข้อตกลงกับมาเลเซียหรือยัง? ซึ่งปกติเครื่องบินที่จะไปลงปีนัง ก็ต้องบินผ่านสตูล และมาทางเบตงด้วยก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง”
“การคมนาคมของภาคใต้เป็นการคมนาคมที่รัฐบาลมองเห็นเป็นที่สุดท้ายมาโดยตลอด คือปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่นรถไฟรางคู่จะไปถึงในปี 2570 ส่วนรถไฟความเร็วสูงไม่ต้องพูดถึง อีกสิ่งหนึ่งก็คือสนามบินและการบินเพราะพี่น้องเราต้องเดินทางไปมาหาสู่ในประเทศต่างๆ จึงขอสนับสนุนพิธีสารนี้ แต่ขอให้เมืองไทยเห็นใจต่อพี่น้องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสและความท้าทาย เพราะคนในพื้นที่สามารถพูดภาษามลายูซึ่งเป็นภาษาสากลเดียวกันกับกลุ่มประเทศได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และบรูไน โดยเฉพาะในปัตตานีนั้น ภาษามลายูมีภาษาที่เป็นตัวอักษรของตนเอง คืออักษรยาวี ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ประเทศในคาบสมุทรมลายูไม่มีตัวอักษรของตัวเอง เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ลองไปวิจัยพัฒนาสนามบินปัตตานี อาจจะนำไปสู่การสร้างสันติสุขและการพัฒนาอย่างยั่งยืน”
_______________________
มูฮัมหมัดรุสดี เชคฮารูณ
รองโฆษกพรรคประชาชาติ
22 ธันวาคม 2564