จัดงานประเพณีอ้างวัฒนธรรมแต่ซ่อนรูปการพนันไว้ในประเพณี

จัดงานประเพณีอ้างวัฒนธรรมแต่ซ่อนรูปการพนันไว้ในประเพณี

จัดงานประเพณีอ้างวัฒนธรรมแต่ซ่อนรูปการพนันไว้ในประเพณี

ประเพณี บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีสำคัญของภาคอีสานบ้านเราที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถือเป็นหนึ่งในฮีตสิบสองเดือนของชาวอีสานที่ทำกันในเดือน 6 ช่วงเข้าสู่ฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูทำนา จะมีการจุดบั้งไฟเพื่อบูชาเทพยดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หรือที่ชาวอีสานเรียกกันว่า พญาแถน หรือ เทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง มีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์นั่นเอง
ในงานประเพณีบุญบั้งไฟ จะมีกิจกรรมหลายอย่าง ตั้งแต่การจัดขบวนแห่บั้งไฟ การเซิ้งบั้งไฟ และการละเล่นต่างๆ ที่แสดงถึงวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น เช่น การทอดแหหาปลา การสักสุ่ม ขบวนเซิ้งแต่งกายสวยงามแบบโบราณ เซิ้งเป็นกาพย์ให้คติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาอันงดงาม


บั้งไฟแต่ละอันที่มาเข้าขบวนแห่ จะถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามด้วยลวดลายไทยสีทอง ว่ากันว่าศิลปะการตกแต่งบั้งไฟนี้ นายช่างจะต้องสับและตัดลวดลายต่างๆ นี้ไว้เป็นเวลานานเป็นเดือน แล้วจึงนำมาทากาวติดกับลูกบั้งไฟส่วนหัวบั้งไฟนั้นจะทำเป็นรูปต่างๆ ส่วนมากนิยมทำเป็นรูปหัวพญานาคอ้าปากและลิ้นพ่นน้ำได้ แต่ก็มีที่ทำเป็นรูปอื่นๆ อยู่ด้วย แต่ก็จะมีความหมายเข้ากับตำนานในการขอฝนทั้งสิ้น ตัวบั้งไฟจะนำไปตั้งบนฐาน ใช้รถหรือเกวียนเป็นพาหนะ นำมาเดินแห่ตามประเพณีนั่นเอง


นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันจุดบั้งไฟ ซึ่งจะมีการแบกบั้งไฟไปยังฐานยิงในที่โล่ง ถ้าบั้งไฟของใครจุดแล้วยิงไม่ขึ้น คนทำจะถูกโยนลงในโคลน เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอีกด้วย


แต่ในปัจจุบันไม่น่าเชื่อว่าประเพณีอันดีงามจะเดินมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุดโดยเฉพาะมีนักการเมืองระดับชาติ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในพื้นที่ จนถึงข้าราชการชั้นผู้น้อย เปิดช่องว่างทั้งให้การสนับสนุนให้กับธุรกิจสีเทาทั้งในประเทศและต่างประเทศมาทำมาหากินธุรกิจผิดกฎหมาย ขยายวงกว้างลงสู่ภาคอีสานตอนใต้แฝงเอาประเพณีบังหน้าเปิดบ่อนการพนันบั้งไฟอย่างเปิดเผย ปิดถนนเก็บบัตรเข้าไปเล่นการพนัน ลักษณะการเล่นจะมีการทายตัวเลขที่บั้งไฟขึ้นไปลอยอยู่บนท้องฟ้าจนถึงตกลงพื้นดินว่าได้เวลากี่วินาทีจะมีกรรมการใช้กล้องส่องทางไกลจับบั้งไฟอยู่ตลอดเวลาแล้วประกาศผลให้ทราบ แต่ละวัน มีนักพนันเข้าไปชมกว่าห้าพันคนต่อวันเก็บค่าผ่านประตูคนละ300บาท ผู้เข้าไปเล่นบางรายเสียพนันบั้งไฟต้องขายไร่ ขายนา เป็นหนี้นายทุนเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ประกอบการจัดมีเงินหมุนเวียนมากกว่าล้านบาท สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน ทั้งบั้งไฟตกใส่บ้านเรือน ตกใส่รถยนต์ ร้องผ่านหน่วยงานราชการก็เงียบ แจ้งความก็เงียบ

พอมีการร้องเรียนมากๆกลุ่มนักพนันเหล่านี้ก็ย้ายฐานจุดไปหมู่บ้านอื่น ตำบลอื่นหรืออำเภออื่นๆแล้วแต่ผู้จัดจะไปตกลงกับสถานที่จุดได้ แต่ที่น่าแปลกใจบางครั้งตั้งฐานจุดอยู่ข้างๆ ที่ว่าการอำเภอหรือบางครั้งอยู่ข้าง สภ.แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดเข้าไปกำกับดูแล ตรวจสอบ ชาวบ้านจึงเชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนตั้งแต่จังหวัดจนถึงอำเภอหมู่บ้านน่าจะมีส่วนได้เสียอย่างไม่น่าสงสัย

บทความ/นสพ.แผ่นดินไทยโพสต์

บทความ รายงานพิเศษ