กาญจนบุรี ใกล้ถึงวันเลือกตั้งผู้สมัครทุกกลุ่มเร่งโหมโรงการออกขอคะแนนคึกคัก กาญจนบุรี มีผู้สมัครนายก อบจ.4 คน ส่วนสถาบันพระปกเกล้า จับผู้สมัครนายก อบจ.โชว์วิสัยทัศน์ ทั้ง 4 ทีมไม่แตกต่าง “รื้อ ซ่อม สร้าง” เพื่อชาวกาญจนบุรี ชี้ปากท้อง ปชช. ต้องมาก่อน

กาญจนบุรี ใกล้ถึงวันเลือกตั้งผู้สมัครทุกกลุ่มเร่งโหมโรงการออกขอคะแนนคึกคัก กาญจนบุรี มีผู้สมัครนายก อบจ.4 คน ส่วนสถาบันพระปกเกล้า จับผู้สมัครนายก อบจ.โชว์วิสัยทัศน์ ทั้ง 4 ทีมไม่แตกต่าง “รื้อ ซ่อม สร้าง” เพื่อชาวกาญจนบุรี ชี้ปากท้อง ปชช. ต้องมาก่อน

กาญจนบุรี ใกล้ถึงวันเลือกตั้งผู้สมัครทุกกลุ่มเร่งโหมโรงการออกขอคะแนนคึกคัก กาญจนบุรี มีผู้สมัครนายก อบจ.4 คน ส่วนสถาบันพระปกเกล้า จับผู้สมัครนายก อบจ.โชว์วิสัยทัศน์ ทั้ง 4 ทีมไม่แตกต่าง “รื้อ ซ่อม สร้าง” เพื่อชาวกาญจนบุรี ชี้ปากท้อง ปชช. ต้องมาก่อน
วันนี้ 08 ธ.ค. 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จังหวัดกาญจนบุรี มีผู้สมัครนายก อบจ. 4 ท่าน แบ่งเป็น 2 ทีม และสมัครอิสละ 2 ทีม ผู้สมัครนายก อบจ.เบอร์ 1 คือนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ หรือหมอหนุ่ย หัวหน้าทีมพลังกาญจน์ เบอร์ 2 นายรังสรรค์ รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ หัวหน้าทีมพลังใหม่ เบอร์ 3 น.ส.สาวิกา ประเสริฐผล ทีม NEXT กาญจนบุรี และ เบอร์ 4 พ.ต.ท.กิตติพิชญ์ จันทร์สมบูรณ์ ทีมกาญจน์ก้าวไกล
โดยก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาทางศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดกาญจนบุรี และอีก 7 เครือข่ายได้จัดเวทีเพื่อให้ผู้สมัครนายก อบจ. ได้ขึ้นเวทีเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ขึ้น โดยจัดขึ้นบริเวณลานหน้าประตูเมืองกาญจนบุรี โดยการแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีในครั้งนี้ คำต่อคำ 2 ตัวเต็งนายก อบจ.กาญจน์ เริ่มที่เสี่ยสรรค์ อดีตนายก 2 สมัย ผู้สมัคร เบอร์ 2 ชูเปลี่ยนโรงงานกระดาษเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชีวิต พร้อมส่งเสริมการศึกษา ดูแลผู้สูงอายุ คนพิการและเด็กผู้ด้อยโอกาส ที่ผ่านมาองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี นั้นมีงบประมาณเพียงส่วนเดียว ส่วนหนึ่งเป็นงบรายจ่ายประจำปี เหลือ งบพัฒนาอยู่ประมาณ 100 ล้านบาทเศษ ในอนาคตข้างหน้าเราจะพัฒนาทั้ง 13 อำเภอในจังหวัดกาญจนบุรี
ส่วนการพัฒนาเราต้องแบ่งโซนจัดอันดับความสำคัญก่อนหลัง ยกตัวอย่างเช่น อำเภอห้วยกระเจา และ เลาขวัญนั้น มีความแห้งแล้ง ส่วนอำเภอที่อยู่ติดกับอำเภอเมืองมีความแห้งแล้งน้อย เราก็จะมีการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ ไป อย่างเช่นอำเภอห้วยกระเจาและเลาขวัญ เราจะมีการพัฒนาแหล่งน้ำ โซนอำเภอไทรโยค ทองผาภูมิ และสังขละบุรี นั้นเราจะพัฒนาเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยว เพราะพื้นที่โซนนี้ เป็นโซนที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก โซนอำเภอเมืองกรณีโรงงานกระดาษ ตนเองมีนโยบายอยู่แล้วว่าจะรับโรงงานกระดาษ มาเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี แต่เนื่องจากว่าหมดวาระเสียก่อน ซึ่งทีมพลังใหม่ จะพัฒนาโรงงานกระดาษ ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชีวิตแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี
สำหรับนโยบายทางด้านการศึกษา ตัวผมนั้นต้องขอเรียนว่า ในช่วงที่ผ่านมาและในอนาคต เราได้อุดหนุนเงินให้กับพื้นที่การศึกษาปีละประมาณ กว่า 10 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2555-2563 รวม 8 ปีเศษ อุดหนุนไปแล้วกว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้เรายังได้เข้าไปดูแลผู้สูงอายุ คนพิการและเด็กผู้ด้อยโอกาส ซึ่งเป็นนโยบายของเราอยู่แล้ว ขอยืนยันว่าเราจะอุดหนุนงบประมาณลงไปทั้ง 13 อำเภอ แต่ต้องดูว่าอำเภอนั้นๆต้องการอะไร เพราะสภาพพื้นที่ของแต่ละอำเภอมีความแตกต่างกัน เช่น บางอำเภอต้องการถนน บางอำเภอต้องการแหล่งน้ำ
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ หรือหมอหนุ่ย ผู้สมัครนายก อบจ.กาญจนบุรี ทีมพลังกาญจน์ เบอร์ 2 กล่าวว่า หลายๆท่านอาจจะไม่เคยรู้จักผมมาก่อน เพราะเห็นคอมเม้นสอบถามเข้ามาในเพจเฟซบุ๊กเป็นจำนวนมากว่าผมคือใคร ขอเรียนว่าอดีตที่ผ่านมา ผมเคยลงสมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสนามแย้ อ.ท่ามะกา เมื่อปี พ.ศ.2548 และเคยเป็นนายก อบต.สนามแย้ อยู่ 2 ปี หลังจากนั้นมาก็มาดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารจังหวัด ตอนสมัยท่านนายกรังสรรค์อีก 2 ปี ต่อมาได้รับความไว้วางใจจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนเลือกเข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส.เขต 3 เมื่อปี พ.ศ.2554 เป็นอยู่กว่า 2 ปี แต่แล้วก็ต้องมาถูกเว้นวรรค ทางการเมือง
สำหรับวิสัยทัศน์และแนวนโยบาย จริงๆแล้วผมไม่ชอบงานนิติบัญญัติ คือการออกกฎหมาย และเป็นคนไม่ชอบงานรัฐสภา แต่ผมเป็นคนชอบงานทางด้านบริหารมากกว่า ในครั้งนี้ผมได้อาสาลงมารับใช้พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดกาญจนบุรี ในฐานะผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เบอร์ 1 จำกันง่ายๆครับคือ เบอร์ 1 โดยมีวิสัยทัศน์ที่อยากจะเปลี่ยน เปลี่ยนบริบทเปลี่ยนวิธีคิดการบริหารงานของกาญจนบุรี เราจะเปลี่ยนอะไร และเรามีอะไรให้เปลี่ยนบ้าง กาญจนบุรี ของเรามีเขื่อนขนาดใหญ่อยู่ 2 เขื่อน ที่กักเก็บน้ำหล่อเลี้ยงพืชผลการเกษตร ทางชลประทาน ที่สามารถส่งเข้าไปผลิตน้ำประปาในกรุงเทพฯ สองเรามีประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่สำคัญก็คืออนุสรณ์สะพานข้ามแม่น้ำแคว ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่เรามีอยู่
และสิ่งที่กาญจนบุรี เรามีอยู่คือเรามีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศเมียนมา ส่วนตะวันออกก็คือทะเลฝั่งอ่าวไทย ในอนาคตอันใกล้นี้สิ่งที่เราจะเจอและบริบทที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ ทางเชื่อม 2 ฝั่งมหาสมุทร ทั้งฝั่งทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย ฝั่งทะเลจีนใต้ ต่อไปจะเชื่อมสองโลกเข้าด้วยกันรวมทั้งฝั่งยุโรปกับฝั่งอเมริกาด้วย โดยใช้เส้นทางที่เป็นทางบกก็คือท่าเรือที่ระยองกับที่ทวาย โดยใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์นี่คือเรื่องของชายแดน กาญจนบุรี เรามีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย เรามีพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบมากกว่าจังหวัดอื่นหรือประเทศอื่นๆ หลากหลายตรงอุณหภูมิ เช่นอุณหภูมิพื้นที่โซนล่างบางครั้งสูงถึง 40 องศา แต่ขณะเดียวกันอุณหภูมิโซนบ้านอีต่อง ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ กลับมีอุณหภูมิเพียงแค่ 14-15 องศาเท่านั้น ดังนั้นถ้าเราเข้าใจบริบทในการพัฒนาอนาคตเราไม่จำเป็นต้องขับรถไปท่องเที่ยวไกลถึงภูทับเบิก และไม่ต้องนั่งเครื่องบินไปเที่ยวที่ดอยอินทนนท์อีกเลย เพราะเราจะได้สัมผัสอากาศความเย็นที่ใกล้เคียงที่สำคัญเป็นการเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือแค่การยกตัวอย่างเท่านั้น ทุกวันนี้เราขาดกระบวนการวิธีคิดแบบบูรณาการ เราขาดซอฟต์แวร์ เราขาดการประมวลผล ขาดการเชื่อมโยงการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ ทรัพยากรที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ผมคิดว่าเราใช้ประโยชน์ได้ไม่ถึงไม่ถึง 10 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่แท้จริง เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าทุกวันนี้จังหวัดกาญจนบุรี ยังขาดทีมงานเข้ามาคิดแบบบูรณาการเชื่อมโยงว่าจะทำอย่างไรที่ภาคเอกชน ภาคธุรกิจเข้าไปใช้ประโยชน์โดยที่ไม่เกิดความเสียหาย ต่อแหล่งทรัพยากรที่เรามีอยู่ และทำให้มันสร้างรายได้อย่างเพิ่มพูน จะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวที่มีอยู่ภายในประเทศเอาเงินมาใช้จ่ายในจังหวัดกาญจนบุรี โดยเมื่อปี พ.ศ.2561 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ ประมาณ 9.2 ล้านคน ปี พ.ศ.2562 เรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 9.1 ล้านคน แต่ค่าใช้จ่ายต่อหัวประมาณ 1,800 บาทเท่านั้น เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้นักท่องเที่ยวมีค่าใช้เพิ่มขึ้นถึงคนละ 3,000-5,000 บาท
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากจะเปลี่ยนเมืองกาญจน์ อยากจะเปลี่ยนวิธีคิด ผมเลยอาสาเข้ามาสร้างทีมงานเข้ามาเป็นตัวกลางเพื่อเชื่อมโยงกับหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ยึดถือครอบครองที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ซึ่ง อบจ.จะเป็นตัวกลางไปเจรจาได้อย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับพวกเรา เมื่อรายได้ของพวกเราเพิ่มขึ้น ทั้งการท่องเที่ยว ทั้งการเพาะปลูก ก็จะดีขึ้นจนกลายเป็นห่วงโซ่ อุปสงค์อุปทาน ซึ่งสามารถพัฒนาเศรษฐกิจยกรายได้ต่อหัวของประชากรของจังหวัดกาญจนบุรีให้เพิ่มขึ้น นี่คือแนวคิดที่ผมอยากเปลี่ยนแต่สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด
สำหรับนางสาวสาวิกา ประเสริฐผล ผู้ลงสมัครนายก อบจ. ครั้งนี้บอกว่าเนื่องจากเราอยากมามีส่วนร่วมทางการเมือง เราจึงมายืนอยู่ตรงนี้ร่วมกัน ส่วนนโยบายการทำงานของเรานั้นไม่มีอะไรมาก แต่สิ่งที่กลุ่มเราต้องการก็คืออยากจะเข้ามาพัฒนาเมืองกาญจน์ ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เรามีนโยบายว่า “รื้อ ซ่อม สร้าง” รื้อคือ เราจะรื้อระบบที่มันไร้ประสิทธิภาพ ให้มันเกิดประสิทธิภาพขึ้นมา ซ่อม คือ เราจะซ่อมพวกสาธารณูปโภค ซ่อมการคมนาคม รวมทั้งพิพิธภัณฑ์โบราณสถาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เพราะจังหวัดกาญจนบุรีมีจุดเด่นคือด้านการท่องเที่ยวซึ่งเราจะเน้นในเรื่องนี้ เพราะว่าการที่คนมาใช้ทรัพยากรของเมืองกาญจน์บ้านเราเป็นจำนวนมาก เราก็ต้องมีการซ่อมแล้วก็รักษาสิ่งพวกนี้ให้มันคงอยู่กับจังหวัดกาญจนบุรีของเราไปนานๆ
และนโยบาย สร้าง ก็คือเราจะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้กับชุมชน ให้กับจังหวัด เช่นเรื่องของการศึกษา การท่องเที่ยว การดูแลสุขภาพของประชาชนในจังหวัด การกีฬา และเรื่องของเทคโนโลยี สินค้าการเกษตร เป็นต้น
ส่วนผู้สมัครนายก อบจ.กาญจนบุรี รายสุดท้ายคือ พ.ต.ท.กิตติพิชญ์ จันทร์สมบูรณ์ หรือพี่เด่น ผู้สมัครนายก อบจ.แบบอิสระ เบอร์ 4 ทีมกาญจน์ก้าวไกล ได้กล่าวบนเวทีเอาไว้ตอนหนึ่งว่า ส่วนตัวมองว่าผู้สมัครนายก อบจ.ทั้งสามท่านนั้นมีมุมมองในการพัฒนาจังหวัดกาญจนบุรี ที่ดีอยู่แล้ว แต่อยากจะเพิ่มเติมว่า การที่ประชาชนจะเข้าถึงตัวนายก อบจ.นั้นค่อนข้างยากมาก ตนจึงอยากให้ผู้สมัครทุกคนรู้ว่าเราทำการเมืองในระดับท้องถิ่น เราทำงานการเมืองท้องถิ่นสิ่งแรกเราต้องมองถึงหัวใจของประชาชนก่อน หัวใจประชาชนคืออะไร หัวใจประชาชนก็คือเรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชน แต่ปัจจุบันนี้เราเริ่มทำงานการเมืองคล้ายกับการเมืองระดับชาติที่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก เรื่องการแบ่งพรรคแบ่งพวกผมไม่ได้ว่าใครแต่ผมกำลังพูดออกมาจากใจ./
///////////////////////////////////////////////////////////////
ปรีชา ไหลวารินทร์ / กาญจนบุรี

การเมือง