กาญจนบุรี “ด่วน” กรมอุทยานฯ ไม่ไว้หน้า ยื่นหนังสือถึง ปปช.กลางวงเสวนา ฟัน อดีต หน.เขตสลักพระ ฐานรับรอง ออก น.ส.3ก.251 ไร่ โดยมิชอบ จ่อฟันซ้ำอีก 3,000 ไร่ เหตุอยู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ
วันที่ 8 กรกฎาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง)เปิดเผยว่า ตามนโยบายยกกำลัง2+4 ของนายวราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่ง 2+4 นั้น แปลความว่าต้องทำงานมากขึ้นเป็น2เท่า หรือยกกำลัง 2 และเพิ่มอีก 4 ข้อ คือการสร้างสมรรถนะของตนเองในทุกด้าน การปฏิบัติงานแบบมีส่วนร่วม การสร้างความรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจในภารกิจของหน่วยงาน และการใช้เทคโนโลยีสร้างวัตกรรม เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าวในการปฎิบัติงานแบบมีส่วนร่วม และการสร้างความรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจในภารกิจของหน่วยงาน
โดยในวันนี้ตนมีโอกาสได้ร่วมการเสวนาในหัวข้อ”ความท้าทายของกาญจนบุรีในการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ”( การป้องกันการทุจริตออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินโดยมิชอบ และการป้องกัน การทุจริต เกี่ยวกับสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ)ในโครงการ ขับเคลื่อน และบูรณาการติดตามมาตรการป้องกัน การทุจริต ด้านทรัพยากรสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ที่สำนักงานป.ป.ช ประจำจังหวัดกาญจนบุรี จัดขึ้นที่โรงแรมไมด้ารีสอร์ทกาญจนบุรี อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
ในการเสวนาตนได้กล่าวถึงสถานการณ์ ปัญหาการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรสาธารณะ ในเขตป่าอนุรักษ์ที่รับผิดชอบ ตนได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เพิ่งได้ไปสัมผัสมาสดๆร้อนๆขึ้นมา 1 เรื่อง และเรื่องที่ยกขึ้นมาเชื่อว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ในอนาคต เนื่องจากเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ นส.3 ก ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ โดยมิชอบ
ซึ่งเรื่องนี้ทางหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระได้รายงานให้ตนทราบเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2561 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระร่วมกับชุดพญาเสือ ได้จับกุมผู้กระทำผิด และตรวจยึดพื้นที่ที่มี น.ส.3ก จำนวน 4 แปลง รวมเนื้อที่ 251ไร่ ทั้งหมดอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ
นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ เปิดเผยว่า ต่อมาวันที่ 9 ก.ค.2562 อัยการจังหวัดกาญจนบุรี มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ผู้ต้องหา14 คน และให้คืนของกลาง เป็นรถแทรกเตอร์ รถแบคโฮ รถบรรทุก รถบรรทุกสิบล้อ รวม 12 คัน โดยอัยการจังหวัดกาญจนบุรี ได้วินิจฉัยว่า เนื่องจากที่ดินดังกล่าวมี นส.3 ก. จำนวน 4 แปลง ออกมาโดยถูกต้องตามกฎหมาย และยังไม่มีการเพิกถอน ประกอบกับมีผู้ใหญ่บ้าน ไประวัง ชี้แนวเขต และรับรองแนวเขตที่ดิน ให้กับเจ้าของที่ดินที่เกิดเหตุ ทั้ง 4 แปลง ซึ่งไม่พบว่า แปลงที่เกิดเหตุ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระแต่อย่างใด พยานหลักฐานจึงไม่พอฟ้อง
ทั้งที่ก่อนไปจับกุม หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ และเจ้าหน้าที่ชุดพญาเสือ ได้ตรวจสอบมาก่อนแล้วว่า น.ส.3 ก. จำนวน 4 แปลง ออกมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีหลักฐานการออกมาจากใบจอง น.ส.2 ในปี 2519 และในปีเดียวกันก็เปลี่ยนมาเป็น น.ส.3 ใบจอง เป็นหนังสือที่ทางราชการออกให้ เพื่อเป็นการแสดงความยินยอมให้ครอบครอง ทำประโยชน์ ในที่ดินเป็นการชั่วคราว
แต่ห้ามมิให้ออกใบจองที่เป็นสาธารณะสมบัติของดินใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือเป็นที่สงวนหวงห้ามของทางราชการ หรือสงวนไว้เพื่อใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นที่เขา ที่ภูเขา และห้ามออกในเขตป่าถาวรตามมติครม. เพราะเป็นการ ขัดกับระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน พ.ศ. 2498 ข้อ3(1) ที่ดินที่จะจัดให้ประชาชนอยู่อาศัย หรือประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพ ต้องไม่ใช่ที่ดินตามสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน
หรือเป็นที่สงวนหวงห้าม หรือเป็นที่เขา ที่ภูเขา ขัดกับกฎกระทรวงฉบับที่ 5 ออกตามประมวลกฎหมาย พ.ศ.2497 ข้อ 8 ( 2) ห้ามออกโฉนด หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ที่เขาที่ภูเขา ที่สงวนหวงห้ามหรือที่ดินส่วนราชการ เห็นว่าควรสงวนไว้ เพื่อใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ขัดกับระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2พ.ศ.2515 ข้อ7 (2) และข้อ9(1) การออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดิน ที่ดินที่ครอบครองนั้น ต้องไม่อยู่ในเขตที่ทางราชการ จำแนกไว้เป็นเขตป่าถาวร
นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ เปิดเผยว่า การออกใบจอง น.ส. 2 ในปี 2519 จึงเป็นการออกใบจองน.ส. 2 ภายหลังประกาศ พระราชกฤษฎีกาเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระในปี 2508 ต่อมาถูกกันออกบางส่วนตามคำสั่งคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 64 ในปี 2515 และยังถูกกันออกเป็นบางส่วนตามประกาศพระราชกฤษฎีกา เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระในปี 2520
แต่ในบริเวณที่มี น.ส.3 ก. จำนวน 4 แปลง จำนวน 250 ไร่ ไม่มีการกันออกแต่อย่างใด และยังเป็นการออกใบจองภายหลังประกาศเป็นเขตป่าไม้ถาวร ตาม มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่31ก.ค. 2516 ประกอบกับ มีหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศ ที่ผู้เชี่ยวชาญและอ่านและแปลภาพถ่าย ในบริเวณดังกล่าว ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2496
พบบริเวณดังกล่าว เป็นป่าเบญจพรรณทั้งแปลง ปี พ.ศ.2512 เป็นป่าเบญจพรรณทั้งแปลง ปี ปี พ.ศ.2516 บางส่วนมีร่องรอยการทำประโยชน์ และปี พ.ศ.2558 เป็นป่าเบญจพรรณทั้งแปลง จากการอ่านและแปลภาพถ่าย ทางอากาศย้อนหลัง จากผู้เชี่ยวชาญจึงแสดงได้ว่า ในบริเวณดังกล่าว มิได้มีบุคคลใด ครอบครอง หรือทำประโยชน์ มาก่อน วันที่ 1 ธันวาคม 2497 ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ การออกใบจอง น.ส. 2 ในปี 2519 ต่อมาเปลี่ยนมาเป็น น.ส.3 ในปีเดียวกัน จึงเป็นการออกใบจองน.ส. 2โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
และการเปลี่ยนจากเอกสาร น.ส.3 มาเป็น น.ส.3ก.ในปี 2556 ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ต้องมีการตั้งคณะกรรมการหลายฝ่ายขึ้นมาร่วมกันตรวจสอบ และรับรองแนวเขต ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 พ.ศ. 2537 ที่ออกตามประมวลกฎหมายที่ดิน ข้อ13 โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้แต่งตั้ง
แต่ในการเปลี่ยน จาก น.ส.3 มาเป็น น.ส.3ก.ดังกล่าว ปรากฎว่าไม่มีการตั้งคณะกรรมการตาม กฎกระทรวงฉบับที่ 43 พ.ศ.2537 มาร่วมตรวจสอบ รังวัดระวังชี้แนวเขตแต่อย่างใด มีแต่นายอำเภอ มอบให้ผู้ใหญ่บ้านในท้องที่คนหนึ่ง แต่ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นกำนันมารับรองแนวเขตแทนเพียงคนเดียว
นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ เปิดเผยว่า ตนไม่โทษผู้ใหญ่บ้านคนนั้นเลย เพราะตนได้ไปตรวจสอบ พยานหลักฐานโดยละเอียดแล้วพบว่า มีอดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ในช่วงปี 2528 ไปลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ที่อยู่ห่างจากแนวเขตจริงเกือบ 1 กิโลเมตร ที่ประกาศในพระราชกฤษฎีกา กำหนดแนวเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ในปี 2508 ทำให้บุคคลโดยทั่วไปเข้าใจว่าที่ดินในบริเวณดังกล่าว ไม่ได้อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จึงทำให้ผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าว สำคัญผิดในข้อเท็จจริงไปรับรองชี้ระวังแนวเขตว่าไม่ได้อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ
แต่ตนสงสัยอย่างมาก ถึงแม้หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระคนเก่า ปี 2528 ไปรับรองแนวเขต ในบริเวณดังกล่าวว่า ไม่ได้อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ แต่ในบริเวณดังกล่าวก็ยังอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ที่ประกาศตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2516 ก็ต้องมีการตั้งคณะกรรมการตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 อยู่ดี” นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ เผย
นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ เปิดเผยว่า ตอนนี้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ทำหนังสือ ไปถึงที่กรมที่ดินแล้วเพื่อขอให้เพิกถอนเอกสาร น.ส.3 ก.ทั้ง 4 ฉบับ ตามมาตรา 61 ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว
วันนี้ตนได้ทำหนังสือถึง ท่านเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ลงวันที่ 3 ธ.ค. 2563 ให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการทุจริต และละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ในเรื่องดังกล่าว ผ่านนายหิรัณย์ เหยี่ยวประยูร ผอ.สำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติ ป.ป.ช.แล้ว
ขณะเดียวกันตนยังได้รับแจ้งจากหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระอีกว่า ยังมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และโฉนดที่ดิน อีกประมาณ 3,000 กว่าไร่ ที่ออกอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ซึ่งตนในฐานะ ผอ.สบอ.3 (บ้านโป่ง) และหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จะดำเนินการตรวจสอบให้หมดทุกแปลง
และตอนนี้กำลังตรวจสอบ น.ส.3 ก.อีก 1 แปลง เนื้อที่ 99 ไร่ ซึ่งเป็นการออกเฉพาะราย ตามมาตรา 59 ทวิ ประมวลกฏหมายที่ดิน ได้ น.ส.3 ในปี 2519 ตามประกาศคำสั่งของคณะปฎิวัติ ฉบับที่96 ลงวันที่ 29 ก.พ. 2519 อ้างว่า ได้ครอบครองและทำประโยชน์ ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ 1 ธ.ค. 2497 ตอนนี้กำลังตรวจสอบและขอแผนที่ระวาง น.ส.3 ก.แปลงดังกล่าวจากที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี ถ้าได้มาแล้วจะเร่งดำเนินการตามระเบียบของกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป./
////////////////////////////////////////////////////////
ปรีชา ไหลวารินทร์ / กาญจนบุรี